เรื่อง ๑๖ วันรับปริญญา

 

เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ผมได้มีโอกาสไปงานรับปริญญาของแฟน

แต่ละประเทศมีธรรมเนียมและวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน

ผมทราบมาว่าพิธีประสาทปริญญาของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นไม่เหมือนกัน

 

ผมเองก็ไม่ค่อยทราบว่าวันรับปริญญาของประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างไงบ้าง

เพราะว่าผมไม่ได้ไปงานรับปริญญาของตัวเอง

หลังจากวันรับปริญญาทางมหาวิทยาลัยได้ส่งใบปริญญามาให้ผมทางไปรษณีย์

สาเหตุที่ผมไม่ได้ไปรับปริญญาด้วยตัวเองก็เพราะว่าตอนนั้นผมได้งานทําแล้วและกําลังอยู่ในช่วงฝึกงาน

แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าผมบอกผู้จัดการว่าขอลางานเพื่อไปรับปริญญาผมก็สามารถลางานได้

ความจริงเหตุที่ผมไม่ได้ไปงานรับปริญญาของตัวเองก็เพราะว่าผมขี้เกียจไปและสําหรับผมเองผมคิดว่า

งานรับปริญญาเป็นงานที่ไม่ค่อยสําคัญมากนัก

ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนที่คิดแบบเดียวกับผมหรือไม่

ผมถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นว่างานรับปริญญาของคุณเป็นอย่างไงบ้าง

บางคนตอบว่าไม่ได้ไปรับปริญญาด้วยตัวเองเหมือนกับผม

ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นส่วนมากคิดว่าการเรียนจบมหาวิทยาลัย คือ สิ่งที่สําคัญและมีเกียติร

แต่ก็บางคนไม่ค่อยให้ความสนใจกับพิธีประสาทปริญญา

เพราะถึงแม้ว่าไม่ได้ไปรับปริญญาด้วยตัวเองแต่ก็ถือว่าทุกคนเป็นบัณฑิตเหมือนกัน

สาเหตุที่คนญี่ปุ่นมีความคิดแบบนี้อาจจะเป็นเพราะว่าที่ญี่ปุ่นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะให้ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธีประสาทปริญญา

เนื่องจากมีนักศึกษาจํานวนมาก

ที่ประเทศไทยคนที่แจกใบปริญญาเป็นคนที่มีตําแหน่งสูงในสังคม หรือ เป็นบุคคลสําคัญ

ผมทราบมาว่าที่ประเทศไทยคนที่เรียนในมหาวิทยาลัยรัฐบาลเท่านั้น จะได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากเชื้อพระวงศ์

บัณฑิตทุกคนจะต้องรู้สึกภาคภูมิใจและเกียรติอย่องยิ่ง

ส่วนที่ญี่ปุ่นไม่มีแบบนี้ ส่วนมากอธิการบดีจะเป็นคนแจกใบปริญญาให้ผ้แทนบัณฑิตและในพิธีประสาทปริญญาบัตร

ก็จะมีบุคคลสําคัญทางสังคมมาร่วมแสดงความยินดีเป็นจํานวนมาก

เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด สามาชิกสภาผู้แทนราษฏร สมาชิกวุฒิสภา เป็นต้น

และทุกคนก็จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ และเท่าที่ผมรู้ที่ญี่ปุ่นไม่ใส่เสื้อครุยเหมือนกับประเทศไทย

แต่จะใส่สูทแทนซึ่งการใส่ชุดครุยนี้น่าจะเป็นการทําตามธรรมเนียมฝรั่ง

ที่ญี่ปุ่นบัณฑิตส่วนใหญ่จะไม่เชินญาติพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีด้วย

อาจจะเชินแต่พอ่แม่เทา่นั้น

เมื่อวันที่๖ ธันวาคม ญาติพี่น้องของแฟน ๘ คนมากรุงเทพ ฯ แพื่อร่วมแสดงความยินดี

เท่าที่ผมเห็นบัณฑิต ๑ คนจะมีในครอบครัวมาร่วมแสดงความยินดีด้วยประมาณ ๕-๑๐ คน (ยังไม่รวมเพื่อน)

ตอนแรกผมเห็นจํานวนสมาชิกในครอบครัวที่มาร่วมแสดงความยินดีก็ตกใจมาก

แต่พอได้เข้าไปร่วมงานรับปริญญาแล้วผมจึงเข้าใจว่าวันรับปริญญาเป็นวันที่สําคัญวันหนึ่งในชีวิตของคนไทย

 

ผมเห็นด้วยว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สําคัญมาก และ คนที่จบการศึกษาสูงก็จะรู้สึกดีใจ และ ภูมิใจ

แต่ผมอยากบอกว่าคนที่เรียนเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทํางานเก่งเสมอไป

การเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นเพียงแค่การหาความรู้ แพื่อที่จะนําไปปรับใช้ในชีวิตการทํางานเท่านั้น

ฉะนั้นการเรียนจบมหาวิทยาลัยจึงไม่ใช้เป้าหมายสูงสุดในชีวิต แต่อาจจะเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

 

                                    ๑๓ ธันวา ๒๕๔๖